ในค่ำคืนของวันที่ 16 พฤศจิกายน 2019 ทันทีที่เสียงนกหวีดดัง เป็นสัญญาณว่าจบการแข่งขันระหว่างทีมชาติฟินแลนด์เจ้าบ้าน กับทีมชาติลิกเตนสไตน์ ซึ่งทางฝั่งเจ้าบ้านสามารถเอาชนะไปได้อย่างสวยงาน ที่ 3 ประตูต่อ 0 และมันไม่ใช่เพียงแค่ชัยชนะธรรมดาทั่วไป แต่มันเป็นชัยชนะที่แฟนฟุตบอล ฟินแลนด์ทั่วทั้งประเทศ รอคอยมาถึง 113 ปีนับตั้งแต่ก่อตั้งสมาคมฟุตบอลของประเทศเลยทีเดียว เพราะชัยชนะในครั้งนี้ มันส่งให้ทีมชาติของพวกเขาได้มีโอกาสเข้าไปเล่น ในรอบสุดท้ายรายการระดับเมเจอร์ เป็นครั้งแรก ในรายการยูโร 2020 นั่นเอง
พวกเขาเริ่มต้นรอบคัดเลือก ด้วยการถูกจับฉลากอยู่ร่วมกลุ่ม เจ ร่วมกับอิตาลี กรีซ บอสเนียร์ อาร์เมเนีย และลิกเตนสไตน์ ซึ่งก็ต้องนับว่าเป็นงานยากสำหรับพวกเขาเลยทีเดียว เพราะตามหน้าเสื่อแล้ว พวกเขาอยู่ในระดับที่เป็นรองสามทีมอย่างอิตาลี กรีซและบอสเนียร์ และเหนือกว่าเพียงลิกเตนสไตน์เท่านั้น แต่พวกเขาก็สามารถสร้างผลงาน ระดับที่ประวัติศาสตร์ต้องจารึกด้วยการเก็บ 18 แต้มจากการลงสนาม 10 เกม เข้าป้ายเป็นอันดับสองของกลุ่ม รองจากอิตาลี ส่งกรีชไปลุ้นต่อรอบเพลย์ ออฟ และถีบบอสเนียร์ตกรอบไปอย่างเจ็บแสบ
ทีมชาติฟินแลนด์ชุดประวัติศาสตร์นี้ คุมทัพโดยกุนซือมาร์คคู คาเนอร์วา กุนซือชาวฟินแลนด์ วัย 55 ปี โดยแท็กติกที่เขาใช้ในการพาทีมผ่านเข้ารอบมาได้ หัวใจสำคัญคือการเน้นเกมรับที่เหนียวแน่น ก่อนที่จะใช้ทีเด็ดในเกมโต้กลับ เอาชนะคู่ต่อสู้ โดยจะเห็นได้จากการที่พวกเขาสามารถเก็บคลีนชีทได้ถึง 6 นัด เลยทีเดียว ถึงแม้ว่าพวกเขาจะไม่ได้มีดาวดังในแผงเกมรับ เหมือนที่เคยมีซามี่ ฮูเปียในอดีต แต่หัวใจในเกมรับของพวกเขา คือการสร้างทีมเวิร์คของผู้เล่นระดับกลาง ๆ แต่เล่นกันอย่างมีวินัย ทำให้พวกเขามีหลังบ้านที่อุ่นใจได้ ส่วนในเกมรุกนั้น พวกเขามีตัวชูโรงก็แค่ ติโม ปุ๊กกี้ ที่เล่นอยู่กับนอริช ซิตี้ในอังกฤษเท่านั้น และเขาก็สามารถช่วยทีมทำประตูไปได้ถึง 10 ประตู จากทั้งหมด 16 ประตูในรอบคัดเลือก ต้องบอกว่านี่คือหัวใจในเกมรุกของพวกเขาอย่างแท้จริง
สำหรับรอบสุดท้ายในยูโร 2020 นี้ พวกเขาในฐานะน้องใหม่ ถูกจัดให้อยู่ในกลุ่ม บี ร่วมกับทีมฟอร์มแรงอย่างเบลเยี่ยม ตามมาด้วยเดนมาร์ค และรัสเซีย ซึ่งถือว่าไม่ธรรมดาเลย โดยเฉพาะสำหรับทีมน้องใหม่อย่างพวกเขา แต่ท่ามกลางข้อเสียเปรียบในเรื่องประสบการณ์และชื่อชั้นของผู้เล่น สิ่งหนึ่งที่พวกเขาพอจะเรียกว่าข้อได้เปรียบก็คือ การโดนมองข้ามจากบรรดาทีมเต็ง จะทำให้พวกเขาเกิดความประมาทนั่นเอง และทำให้ทีมเล็กอย่างฟินแลนด์ ที่สามารถเล่นได้โดยมีความกดดันที่น้อยกว่า ทำผลงานได้ดีขึ้น และหากพวกเขายังรักษาวินัยในเกมอย่างที่ทำได้ในรอบคัดเลือก พวกเขาอาจจะมีเซอร์ไพรส์ให้ชาวโลกได้เห็น อย่างที่ไอซ์แลนด์หรือเวลส์ เคยทำให้โลกตะลึงมาแล้วอย่างแน่นอน
ในรอบสุดท้ายนี้ เชื่อว่าจะมีผู้คนจับตามองพวกเขามากขึ้นกว่าเดิม เพื่อดูกันว่าพวกเขาจะสร้างผลงานเพื่อสานต่อความสุขให้กับชาวฟินแลนด์ได้มากแค่ไหน ยังไงก็สร้างผลงานระดับในรอบร้อยปีแล้ว ก็น่าจะสานต่อไปให้ได้ไกลกว่านี้อีกหน่อย และบรรดาทีมใหญ่อย่างเบลเยี่ยม รัสเซีย และเดนมาร์ค จะทำการรับน้องใหม่พวกเขาอย่างรุนแรง หรือจะโดนเด็กใหม่อย่างฟินแลนด์แกล้งกับรุ่นพี่อย่างเจ็บ ๆ แสบ ๆ ก็อาจจะเป็นไปได้เช่นกัน